โศกนาฎกรรม จากการเลือกปฏิบัติทางชนชั้นวรรณะ
top of page

โศกนาฎกรรม จากการเลือกปฏิบัติทางชนชั้นวรรณะ

อัปเดตเมื่อ 29 พ.ค. 2563

ชายหนุ่มต้องตายเพราะตกหลุมรักหญิงสาวจากวรรณะที่สูงกว่า พิสูจน์ให้เห็นว่าความรักไม่ได้ตาบอด แต่เป็นสังคมของเราที่มืดบอด

บทความนี้ไม่ได้เป็นบทละคร หรือนิยายแต่อย่างใด เป็นเรื่องราวการเสียชีวิตของเด็กหนุ่มวัย 20 ปี ที่มีให้กับหญิงสาวที่อยู่ในวรรณะที่สูงกว่าในประเทศเนปาล การเสียชีวิตของเขาเป็นข่าวที่โด่งดังอยู่ในประเทศเนปาลในตอนนี้ และเป็นไวรัลทั้งในทวิตเตอร์ และเฟสบุ๊ค ที่ถูกทวิตและแชร์ต่อ ๆ กันไป เพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้แก่เขา

เด็กหนุ่มวัย 20 ปี และเพื่อนอีกสองคน เสียชีวิตเมื่อวัน เสาร์ ที่ 23 พฤษภาคม 2020 ที่ผ่านมาเหตุการณ์ย้อนหลังไปเมื่อปีที่แล้ว มีการจัดการแข่งขันกีฬาที่เทศบาล Chaurjahari ใน แขวง รูกุม (Rukum) นายนาบาราช บีเค (Nabaraj BK) วัย 19 ปี ซึ่งมาจากชุมชน ดาลิต (Dalit) (วรรณะต่ำสุดของประเทศเนปาล) เป็นชาวเมือง เบริ (Bheri) ได้เข้าร่วมในงานนี้ด้วย ในวันนั้น นาบาราช บีเค ได้พบกับ สุชมา มอลลา (Sushma Malla) อายุ 16 ปี เป็นชาวเมือง Chaurjahari ทั้งสองเมืองนี้ตั้งอยู่ในแขวงรูกุม ของประเทศเนปาล พวกเขาทั้งสองได้ตกหลุมรักกันในวันนั้น


แต่ความรักของทั้งสองคนต้องมีอุปสรรค มันไม่ง่ายเลยที่ทั้งคู่จะพบเจอกันในหมู่บ้าน เนื่องจากชายหนุ่มมาจากครอบครัว บีเค (BK) ซึ่งถือว่าเป็น “วรรณะที่ต่ำต้อยและไม่สามารถแตะต้องได้” มาถึงตอนนี้ใครหลายคนอาจจะเริ่มงง !!!! อะไรคือ "วรรณะที่ไม่สามารถแตะต้องได้?" อ่านเนื้อหาเกี่ยวกับวรรณะของประเทศเนปาลได้ในท้ายบทความนะคะ


หลังจากคบหากันผ่านไป 1 ปี ทั้งคู่ก็ได้ตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่ชายหนุ่มในวรรณะที่ต่ำกว่าจะแต่งงานกับหญิงสาวในวรรณะที่สูงกว่า นาบาราชได้ไปที่บ้านของ สุชมา เพื่อโน้มน้าวพ่อแม่ของเธอเมื่อเดือนที่แล้ว (เมษายน) แต่เนื่องจากการเลือกปฏิบัติทางวรรณะยังคงหยั่งรากลึกในสังคมของพวกเขา พ่อแม่ของ สุชมา ไม่เห็นด้วยที่จะให้ลูกสาวแต่งงานกับครอบครัวบีเค ซึ่งมาจากวรรณะที่ต่ำกว่าครอบครัวของตน


แต่หนุ่มสาวทั้งสองก็ไม่สนใจ ไม่ฟังคำคัดค้านของครอบครัวฝ่ายหญิง เมื่อวันเสาร์ ที่ 23 พฤษภาคม 2020 ที่ผ่านมา นาบาราช กับญาติของเขา รวมทั้งหมด 19 คน ไปที่บ้านของ สุชมา เพื่อมาสู่ขอ ครอบครัวของสุชมารู้เรื่องถึงเหตุการณ์นี้ จึงเรียกชาวบ้านให้มาช่วยเหลือ เมื่อชาวบ้านมาถึง นำโดยประธานเทศบาล Chaurjahari นายบาฮาดูร มอลลา (Bahadur Malla) เขาและชาวบ้าน ได้ปาก้อนหินใส่ นาบาราช และเพื่อน ๆ พวกชาวบ้านทำร้ายไล่ล่า นาบาราชและเพื่อน ๆ จนตกลงไปในแม่น้ำเบรี ที่ชายแดนของเขตจาจาร์กอตและรูกุม จากเหตุการณ์ในวันนั้นมีผู้สูญหายทั้งหมด 6 คน ในวันถัดมา (วันอาทิตย์ ที่ 24 พฤษภาคม 2020)ได้พบศพของ นาบาราชและและติการาม สุนาร) (Tikaram Sunar) ถูกพบในแม่น้ำเบรี ทั้งคู่เป็นดาลิต และในวันจันทร์ ที่ 25 พฤษภาคม 2020 ได้พบศพ นายกาเนศ บุดดา (Ganesh Budha)และอีกสามคนยังคงสูญหาย ตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 12 คน รวมทั้งสุชมา และครอบครัวของเธอ


ญาติของนาบาราชและติการาม ยังไม่ได้รับศพของพวกเขา โมฮัน พ่อของนาบาราช กล่าวว่า “ ลูกชายของฉันต้องตายเพียงเพราะเขามาจากครอบครัวดาลิต เราจะไม่ได้รับศพนอกเสียจากว่าผู้กระทำผิดจะถูกดำเนินคดี” โดยศพถูกเก็บรักษาไว้ที่โรงพยาบาลประจำตำบลในจาจาโรต์ การสืบสวนของตำรวจเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มเสียชีวิตเนื่องจากการเลือกปฏิบัติทางวรรณะ เนปาลได้จัดตั้ง คณะกรรมการห้าคน เพื่อสอบสวนคดีฆาตกรรมนี้


นายโมฮัน บีเค พ่อของนาบาราช ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Republica Online ว่า สุชมา ได้ไปเยี่ยมบ้านของ นาบาราช หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่พวกเขาเริ่มความสัมพันธ์กัน พ่อของนาบาราช ได้บอกให้ ลูกชายและสุชมา ยุติความสัมพันธ์นี้ทันที “ฉันพยายามโน้มน้าวพวกเขาให้เลิกคบกัน เพราะว่าพวกเขามาจากกลุ่มวรรณะที่แตกต่างกัน” และเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา นาบาราชได้บอกกับแม่ของเขาว่า “ผมจะพาสะใภ้มาหาแม่นะ” แต่ “ ลูกชายของฉันที่ไปรับลูกสะใภ้ มีเพียงศพของเขาเท่านั้นที่กลับมาบ้าน” ออมิลา แม่ของนาบาราชกล่าวด้วยความโศกเศร้า


เมื่อสาเหตุการตายของชายหนุ่มถูกแพร่ออกไป สร้างความขุ่นเคืองให้กับชาวเนปาลเป็นอย่างมาก รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของประเทศเนปาลถือเรื่อง การเลือกปฏิบัติใด ๆ ที่มีพื้นฐานมาจากวรรณะ เพศ หรือศาสนา เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่โหดร้ายที่สุดของระบบวรรณะ โดยถูกมองว่าเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์แบ่งแยกเชื้อชาติที่เลวร้ายที่สุด โศกนาฏกรรมใน รูกุม จากการตายของ นาบาราช ควรเป็นวาระแห่งชาติ หากวิดีโอของตำรวจผิวขาวฆ่าคนดำหรือคนที่มีสีในสหรัฐฯทำให้เราโกรธ แล้วโศกนาฏกรรมในรูกุม การข่มเหงกันด้วยระบบชนชั้นก็ไม่ต่างกันกับวีดีโอเหล่านั้น ความตายของ นาบาราช และเพื่อน ๆ ชีวิตในวัยหนุ่มของเขา ถูกตัดทอนลงด้วยความโหดร้าย ที่อยู่ในสังคมของชาวเนปาลตลอดไป เราต้องทำลายการเลือกปฏิบัติทางวรรณะ เริ่มต้นโดยผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสังหารนาบาราชต้องถูกลงโทษ เพื่อที่จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของการเลือกปฏิบัติทางวรรณะ


ทางการเนปาลได้จัดตั้ง คณะกรรมการห้าคน เพื่อสอบสวนคดีฆาตกรรมนี้ จริง ๆ แล้วก็เห็น ๆ กันอยู่ว่ามีการทำร้ายกันจนถึงแก่ความตาย ซึ่งมิได้เป็นการฆาตรกรรมอำพรางใด ๆ น่าจะปิดคดีได้ง่าย ๆ แต่เนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการเลือกปฏิบัติทางวรรณะ และที่สำคัญที่สุดผู้นำชุมชน นายบาฮาดูร มอลลา ยังเป็นผู้ร่วมกับโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ผู้คนเลือกให้เขาเป็นผู้นำของชุมชน เขาถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของทุกคนในชุมชนของเขา ใครจะคิดว่าเขาจะเป็นคนหนึ่ง ที่เป็นผู้นำมาซึ่งการฆาตกรรมเด็กชายต่างวรรณะ มีคนใหญ่คนโตเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยว่างั้นเถอะ


ชาวเนปาลเองหวังว่าคณะกรรมการห้าคนที่จัดตั้งขึ้น เพื่อสอบสวนคดีฆาตกรรมของนาบาราช จะทำงานอย่างหนักและซื่อสัตย์ และหวังว่าคดีนี้จะไม่ซุกเอาไว้และเงียบหายไป เช่นหลายครั้งในอดีต ตำรวจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนยื่นเรื่อง เพื่อให้ผู้กระทำผิดไม่สามารถหลุดพ้นจากคดีได้ ซึ่งคดีฆาตรกรรมเนื่องจากสาเหตุเพียงเพราะวรรณะต่างกันแบบนาบาราชนี้ ไม่ได้เป็นคดีแรก ยังมีอีกหลายคดีที่ชนชั้นล่างถูกข่มเหงรังแก และเงียบหายไปยังไม่มีการตัดสินจนถึงทุกวันนี้ เช่นคดีของแก๊งที่ข่มขืนสาว ดาลิต ในแขตดานกุตาและมอแรง การเลือกปฏิบัติทางวรรณะในกบิลพัสตุ และกาสกี คดีการสังหารและการบังคับให้หายตัวไปในรูกุมตะวันตก และการบังคับให้ทำแท้งในแพนช์ทาร์


การเสียชีวิตของนาบาราช ดูเหมือนจะทำให้รัฐบาลเนปาลตื่นตัวในการเลือกปฏิบัติทางวรรณะมากขึ้น ในวันจันทร์ ที่ผ่านมา รัฐสภาโดยคณะกรรมการความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยทำหน้าที่สอดส่องเหตุการณ์การเลือกปฏิบัติ ข่มขืน และ ฆาตกรรมในระหว่างการถูกจับกุม คณะกรรมการของรัฐสภาได้บอกรัฐบาลว่าจำเป็นที่จะต้องดำเนินการกับผู้กระทำผิดทันที


โศกนาฎกรรมของความรักในครั้งนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าความรักไม่ได้ตาบอด แต่เป็นสังคมของเราเองที่มืดบอด คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ระหว่างวัฒนธรรม ระบบวรรณะที่ฝังรากลึกในเนปาล กับกฎหมายของเนปาล จะช่วยทวงคืนความยุติธรรม ความเป็นมนุษย์เช่นกันของคนคนหนึ่งบนโลกใบนี้ ที่ต้องมาตายเพราะตนเกิดมาในวรรณะที่ต่ำกว่าได้หรือไม่

 


วรรณะในประเทศเนปาล แบ่งออกเป็น 4 วรรณะ คือ

1. Brahman เป็น พราหมณ์ นักบวชและนักวิชาการ

2. Kshatriya เป็นพวกนักรบ

3. Vaisya พ่อค้า

4. Sudra กรรมกร


ในระบบนี้การเป็นสมาชิกนั้นมีทั้งทางพันธุกรรมและถาวร การแต่งงานระหว่างวรรณะนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะทำให้สังคมอับอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดขึ้นระหว่างวรรณะสูงสุดและวรรณะต่ำสุด นอกจากนี้วรรณะยังกำหนดพฤติกรรม ภาระผูกพัน และความคาดหวังของบุคคล กำหนดการ จำกัด การเข้าถึงที่ดิน ตำแหน่ง อำนาจทางการเมือง และการบังคับบัญชาแรงงานมนุษย์ การละเมิดกฎเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะถูกลงโทษ เช่น การคว่ำบาตรทางสังคม แม้ว่าข้อเท็จจริงที่ว่าวรรณะจะขึ้นอยู่กับอาชีพต่าง ๆ วรรณะไม่สามารถพัฒนาได้ในภายหลัง ไม่เหมือนอินเดียนะคะ อย่างจันทาน เมื่อเปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธแล้ว ทำให้พ้นจากการเป็นจันทาน แต่ในประเทศเนปาล ทั้งฮินดูและพุทธผสมผสานกันอย่างกลมกลืน ซึ่งมีทั้งพุทธและฮินดูอยู่ในวรรณะเดียวกันก็ได้


แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครอยู่วรรณะไหน? นามสกุลจะเป็นตัวชี้บ่งวรรณะของคนนั้น ๆ และอาชีพก็สามารถบอกวรรณะได้เช่นกัน แต่ในปัจจุบัน บางอาชีพที่วรรณะต่ำทำก็เป็นของวรรณะสูงได้ แล้วทำไมวรรณะต่ำสุดถึงแตะต้องไม่ได้? ดูตามแผนภูมิแล้ว ชาวต่างชาตินี่ก็เป็นวรรณะต่ำนะเนี่ย


Sudras เป็นวรรณะต่ำสุดในวรรณะทั้งหมด และถูกเรียกว่าไม่บริสุทธิ์ และไม่สามารถแตะต้องได้(ตัวผู้เขียนเองก็ไม่เข้าใจ เอากฎเกณฑ์อะไรมาวัดความบริสุทธิ์) ชาวมุสลิมก็ตกอยู่ภายใต้หมวดหมู่นี้ ชุมชนที่อยู่ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นแรงงาน การยกตัวอย่างต่อไปนี้เป็นนามสกุลของคนในวรรณะนี้ เช่น ช่างตีเหล็ก (Lohars, Kamis) ช่างตีทอง (Sunars) คนขับรถ (Vishwakarma) ไม่สามารถบ่งบอกบรรพบุรุษได้ (Nepali) ช่างทำรองเท้า (Sarki) ช่างตัดเสื้อ / นักดนตรี (Damahi) เป็นต้น


การแบ่งชนชั้นของสังคมเข้าสู่ระบบวรรณะ วรรณะที่สูงกว่าไม่เต็มใจที่จะทำงานในงานที่ต่ำกว่าและบังคับให้ผู้ที่มีวรรณะต่ำกว่า อ่อนแอกว่า, ผู้ที่ยากจน นักโทษและทาส ทำอาชีพนี้ แต่ทุกวันนี้เนื่องจากการขาดงานเพื่อค้ำจุนชีวิต ทำให้คนวรรณะสูงเช่น Brahmins และ Kshatriya หันมาทำงานวรรณะต่ำแบบดั้งเดิม เช่นการขายเนื้อสัตว์และซักผ้า ดังจะเห็นได้จากร้านซักรีดและเนื้อสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเป็นของพวกชนชั้นนี้เป็นต้น


ในทางกลับกันผู้คนในวรรรณะต่ำ ได้ลุกขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมความเป็นไปได้สำหรับความก้าวหน้า หรือความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจโดยมีศักดิ์ศรีของตนเอง อาชีพของพวกเขาได้ผ่านการขยายตัวกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่เพียงแต่ จำกัดตัวเองกับอาชีพดั้งเดิมของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังค่อย ๆ ขยายตัวไปสู่อาชีพอื่น ๆ อีกมากมาย มีหลายคนทำงานในตำแหน่งราชการระดับสูงและสมาชิกส่วนใหญ่ในรัฐสภา การถือกำเนิดของประชาธิปไตยในปี ค.ศ.1950 การเลือกปฏิบัติทางสังคมเริ่มพังทลายลงโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ การเลือกปฏิบัติทางวรรณะในสถานที่สาธารณะ และการบริการของรัฐโดยเฉพาะในเมืองเกือบจะสูญพันธุ์ แต่ก็ยังคงมีอยู่ในหมู่บ้านชนบท อย่างไรก็ตามด้วยการพัฒนาการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สำคัญผู้คนในหมู่บ้านในชนบทได้เลิกแบ่งชนชั้นสำหรับนักท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน


จะเห็นได้ว่าระบบวรรณะถูกทอดทิ้งอย่างช้า ๆ เนื่องจากเป็นการยากที่จะฝึกฝนในสังคมสมัยใหม่ การไม่มีเวลา และการพัฒนาด้านการศึกษา กฎหมาย และการรับรู้ทางสังคม อย่างไรก็ตามระบบการเลือกปฏิบัติทางวรรณะ ก็ยังครอบงำความเป็นจริงทางสังคมในเนปาลโบราณ และเป็นแรงผลักดันทางสังคมในเวลานั้น ซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่ในวัฒนธรรมของชาวชนบท


อ้างอิงข้อมูลข่าวจาก

หนังสือพิมพ์ Kathmandu Post ฉบับวันที่ 26 พฤษภาคม 2020

หนังสือพิมพ์ Myrepublica ฉบับวันที่ 26-27 พฤษภาคม 2020

google and wikipedia

ดู 1,390 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด
bottom of page