ดอกกรรณิการ์ ดอกไม้แห่งรัตติกาล
- Thai Nepal Travels & Trek

- 24 ส.ค.
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 28 ส.ค.

ดอกกรรณิการ์: มนตร์แห่งราตรีในเนปาล
หากคุณเคยมาเยือนประเทศเนปาล ในช่วงเดือน กรกฏาคม ถึง กันยายน ในช่วงยามเย็น อาจจะเคยได้กลิ่นหอมหวานลอยมาตามลม กลิ่นนั้นไม่ใช่กลิ่นของดอกไม้ทั่วไป แต่เป็นกลิ่นหอมเฉพาะตัวของ ดอกกรรณิการ์ หรือในภาษาเนปาลเรียกว่า Parijat (ปาริชาต) ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่มีเกสรสีส้มสดใสนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ดอกไม้ที่สวยงาม แต่ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้งในเนปาล
ยังมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมของประเทศเนปาล ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและความหมายที่ลึกซึ้ง ในบทความนี้ เราจะสำรวจรายละเอียดของดอกกรรณิการ์ ความเป็นมา ถิ่นกำเนิด และความสำคัญของมันในเทศกาลสำคัญของเนปาล
ความเป็นมาของดอกกรรณิการ์
ดอกกรรณิการ์ (Parijat หรือ Night-blooming Jasmine)มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Nyctanthes arbor-tristis ซึ่งหมายถึง "ต้นไม้แห่งความเศร้า" พบได้ในเขตร้อน ลักษณะเด่นคือดอกสีขาวที่มีเส้นสีส้ม อยู่กลางดอก เนื่องจากดอกไม้จะบานในเวลากลางคืนและร่วงโรยในตอนเช้า เปรียบเหมือนน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาจากความเศร้า โดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืนทำให้มันเป็นสัญลักษณ์ของความรักและการคิดถึงในวรรณกรรมและเพลงพื้นบ้าน
นอกจากนี้ ดอกกรรณิการ์ยังมีบทบาทในยาแผนโบราณ โดยใช้ในการรักษาอาการทั่วไป เช่น ไข้หวัดใหญ่ โดยที่มีการศึกษาแสดงให้เห็นว่า คุณสมบัติทางยาของดอกไม้ชนิดนี้สามารถลดอาการไข้ได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์
ถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์
ดอกกรรณิการ์เติบโตได้ดีในสภาพภูมิอากาศร้อนชื้น พบมากในประเทศเนปาล อินเดีย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเนปาล ดอกไม้ชนิดนี้มักพบในสวนสาธารณะและบริเวณบ้านเรือน เพราะมันมีความทนทานและดูแลง่าย

การใช้ดอกกรรณิการ์ในพิธีกรรมและวัฒนธรรมของเนปาลก็นับว่ามีความหลากหลาย เช่น ผู้คนใช้ดอกไม้ชนิดนี้ในพิธีบูชาพระเจ้า โดยเฉพาะในงานฉลอง หรือกิจกรรมสำคัญต่าง ๆ
ต้นกำเนิดและตำนานฮินดู
เจ้าหญิงปริชาติ (Parijat) ต้นกำเนิดของดอก ปาริชาติ ของฮินดู
ในความเชื่อของชาวเนปาล ดอกกรรณิการ์มีเรื่องราวที่น่าสนใจและผูกพันกับเทพเจ้าในศาสนาฮินดูอย่างลึกซึ้ง มีตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งเจ้าหญิงปริชาติ (Parijat)ได้หลงรักพระอาทิตย์อย่างสุดหัวใจ แต่เมื่อถูกปฏิเสธ นางก็เสียใจอย่างมากจนตัดสินใจกระโดดกองไฟปลิดชีพตัวเอง
จากเถ้ากระดูกของนางปรารถนา ได้บังเกิดเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งก็คือต้นกรรณิการ์นั่นเอง ดอกของต้นกรรณิการ์จะบานเฉพาะตอนกลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพระอาทิตย์ที่นางไม่ต้องการเห็นอีก และเมื่อรุ่งเช้า ดอกไม้จะร่วงหล่นลงมาสู่พื้นดินราวกับหยดน้ำตาที่เสียใจของนางปรารถนา ที่น่าสนใจคือแกนกลางของดอกมีสีส้มเหมือนกับเปลวไฟที่คร่าชีวิตนางไป
ด้วยตำนานอันเศร้าสร้อยนี้เอง ดอกกรรณิการ์จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่ไม่สมหวังและความเสียสละ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งก็เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความหวังที่ผลิบานในยามค่ำคืน
ตำนานของพระกฤษณะ
ในตำนานฮินดู ดอกกรรณิการ์มีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องราวของพระกฤษณะ (Krishna) กล่าวกันว่า ดอกกรรณิการ์เป็นหนึ่งในห้าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ผุดขึ้นมาจากการกวนเกษียรสมุทร (Samudra Manthan) ซึ่งเป็นต้นไม้ที่อยู่ในสวรรค์ของพระอินทร์ พระกฤษณะได้นำต้นกรรณิการ์จากสวรรค์มาปลูกบนโลกมนุษย์เพื่อเอาใจพระนางสัตยภามา (Satyabhama) ภรรยาของพระองค์ แต่ด้วยความที่พระกฤษณะอยากให้พระนางรุกมินี (Rukmini) ภรรยาอีกคนได้รับดอกไม้ด้วย จึงปลูกต้นไม้ในลานบ้านของพระนางสัตยภามาในลักษณะที่เมื่อดอกไม้ร่วงโรย จะไปตกในลานบ้านของพระนางรุกมินีแทน เรื่องราวนี้ทำให้ดอกกรรณิการ์เป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความภักดี และความบริสุทธิ์

ตำนานพระอินทร์ถูกจองจำ จากการไปขโมยดอกปาริชาติ
ตำนานที่โด่งดังที่สุดและเป็นที่มาของชื่อเทศกาล อินทราจาตรา (Indra Jatra)เล่าว่า:
การลงมาโลกมนุษย์: พระอินทร์ (Indra) ซึ่งเป็นราชาแห่งสวรรค์และเทพเจ้าแห่งฝน ต้องการดอกปาริชาติ (Parijat) ซึ่งเป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพระมารดาของพระองค์ (บางตำนานระบุว่าชื่อ ดาคินี หรือ อดิติ) เพื่อใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา พระอินทร์จึงปลอมตัวเป็นมนุษย์ธรรมดาและลงมายังโลกมนุษย์ในหุบเขากาฐมาณฑุเพื่อค้นหาดอกไม้ชนิดนี้
การถูกจับกุม: เมื่อพระอินทร์พบดอกไม้ในสวนของชาวบ้านคนหนึ่ง พระองค์ก็พยายามเก็บดอกไม้ไป แต่ชาวบ้านที่ไม่รู้ว่าชายคนนี้คือเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ คิดว่าเขาเป็นเพียงขโมย จึงจับกุมและจองจำไว้
การช่วยเหลือจากพระมารดา: เมื่อพระอินทร์หายตัวไปนาน พระมารดาของพระองค์จึงเป็นห่วงมากและลงมายังโลกมนุษย์เพื่อตามหาพระโอรส พระนางได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพระอินทร์ให้ชาวบ้านได้รับรู้
คำมั่นสัญญา: เมื่อชาวบ้านรู้ความจริงก็ตกใจและขออภัยในสิ่งที่ทำไป พวกเขาจึงปล่อยตัวพระอินทร์ แต่ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับสวรรค์ พระมารดาของพระอินทร์ได้ให้คำมั่นสัญญาแก่ชาวบ้านเป็นการตอบแทนว่า:
จะประทานน้ำค้างให้เพียงพอ: เพื่อให้พืชผลในฤดูหนาวเติบโตได้ดี
จะพาผู้ล่วงลับขึ้นสู่สวรรค์: พระนางจะช่วยนำพาดวงวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาให้ขึ้นสู่สวรรค์
จะประทานฝนให้ทันเวลา: เพื่อให้การเพาะปลูกประสบความสำเร็จ
เพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์นี้และเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณต่อพระอินทร์และพระมารดา ชาวเนปาลจึงจัดเทศกาลอินทราจาตราขึ้นทุกปี โดยมีการตั้งเสาธงขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "ยัสซิงฮา" (Yasingha) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมาเยือนของพระอินทร์ และยังมีการตั้งรูปปั้นของพระอินทร์ในสภาพถูกจองจำไว้ที่กลางเมือง เพื่อรำลึกถึงตำนานนี้
ความสำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรมในเนปาล
การบูชาเทพเจ้า: ดอกกรรณิการ์เป็นดอกไม้มงคลที่นิยมนำมาบูชาเทพเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาสนาฮินดู เนื่องจากกลิ่นหอมและสีขาวบริสุทธิ์ของดอกไม้
เทศกาล Dashain และ Tihar: ดอกกรรณิการ์ถูกใช้ประดับตกแต่งและเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมในช่วงเทศกาลสำคัญเหล่านี้ ซึ่งถือเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเนปาล
สัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์: เนื่องจากดอกกรรณิการ์จะร่วงโรยจากต้นลงสู่พื้นดินเอง โดยที่ไม่มีใครเด็ดออกจากต้น ทำให้ดอกไม้ชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความสะอาด และชาวฮินดูเชื่อว่าดอกไม้ที่ร่วงโรยตามธรรมชาติเท่านั้นที่ควรนำไปบูชาเทพเจ้า
ดอกกรรณิการ์มีความสำคัญอย่างยิ่งในเทศกาลต่าง ๆ เช่น "อินทราจาตรา" (Indra Jatra) ซึ่งเป็นงานเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวและบูชาพระอินทร์ ในงานนี้ มีกิจกรรมหลากหลาย เช่น ขบวนแห่ที่มีผู้ร่วมงานเกือบ 10,000 คน การเต้นรำ และการบูชาดอกกรรณิการ์
ในช่วงเทศกาลอินทราจาตรา ผู้คนนำดอกกรรณิการ์มาประดับสถานที่และใช้ในการบูชาพระเจ้า เป็นการแสดงถึงความเคารพและศรัทธาในพลังของดอกไม้ชนิดนี้

นอกจากการใช้ในเทศกาลแล้ว ดอกกรรณิการ์ยังมีบทบาทสำคัญในพิธีการต่าง ๆ เช่น การแต่งงาน โดยเฉพาะในพิธีบูชาความรัก ดอกไม้ชนิดนี้ได้รับเลือกให้เป็นสัญลักษณ์สำหรับคู่รัก เนื่องจากเชื่อกันว่าสามารถนำโชคและความสุขมาให้
สรรพคุณของดอกกรรณิการ์ในชีวิตประจำวัน
การแพทย์อายุรเวท: ในการแพทย์อายุรเวทซึ่งเป็นระบบการแพทย์โบราณของอินเดียและเนปาล มีการใช้ดอกกรรณิการ์เพื่อรักษาอาการต่างๆ เช่น ไข้, ปวดข้อ, ไซนัสอักเสบ และโรคทางเดินหายใจดอกกรรณิการ์มีการใช้ในชีวิตประจำวันของชาวเนปาลอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในด้านการแพทย์พื้นบ้าน ซึ่งช่วยรักษาอาการปวดหัวและไข้หวัด ข้อมูลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าสูตรน้ำชาจากดอกกรรณิการ์สามารถลดอาการปวดหัวได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์
การย้อมผ้า: หลอดดอกสีส้มแดงของดอกกรรณิการ์ยังสามารถนำมาสกัดเป็นสีย้อมผ้าไหมได้ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่มีมาแต่โบราณ
สรุป
โดยสรุปแล้ว ดอกกรรณิการ์ในประเทศเนปาลไม่ได้เป็นเพียงแค่ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมและสวยงาม แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ ตำนาน และวิถีชีวิตของผู้คน เป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ ความรัก และความบริสุทธิ์ ที่ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของชาวเนปาลมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การใช้ดอกกรรณิการ์ในพิธีกรรมต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความสำคัญในชีวิตประจำวันของชาวเนปาล และทำให้ดอกกรรณิการ์กลายเป็น "ดอกไม้แห่งรัตติกาล" ที่มีความหมายพิเศษในใจของผู้คน

















ความคิดเห็น